คุณสมบัติของการเป็นหัวหน้าที่ดี!

เคยรู้กันหรือไม่? ว่าในแต่ละวันของคนเป็นหัวหน้านั้นเขามีหน้าที่อะไร และต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง? ถ้าให้พูดถึงความคาดหวังขององค์กรต่อคนที่เป็นหัวหน้าแล้วล่ะก็คงคาดหวังให้หัวหน้ามีหน้าที่ในการปกครอง คอยดูแล แนะนำ ควบคุม สั่งงาน สอนงาน ติดตามงาน และสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา หากหัวหน้าสามารถปฏิบัติทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นได้เป็นอย่างดี ก็จะสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพออกมาได้ แถมยังเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

หัวหน้าคือใคร? หัวหน้าก็คือคนที่ได้รับแต่งตั้งจากองค์กรว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม มีความรู้ ความสามารถในการทำงาน มีการบริหารจัดการงานและสามารถมอบหมายงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างเหมาะสม โดยมีหน้าที่ในการปกครอง คอยดูแล แนะนำ ควบคุม สั่งงาน สอนงาน ติดตามงาน และสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่น ตรงตามเป้าหมาย และประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง?

เอาล่ะค่ะทุกคนคงอยากรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า...คนที่เขาเป็นหัวหน้านั้น วันๆ หนึ่งเขาต้องทำงานอะไร มีหน้าที่อะไร และต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง? ลองไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ!

1. รับผิดชอบงานของตนเอง

การก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้น นอกจากภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจจะเพิ่มมากขึ้นแล้ว คนเป็นหัวหน้ายังต้องคอยดูแลทุกข์สุข บังคับบัญชาลูกน้องในทีมให้ทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายให้ประสบผลสำเร็จ แถมยังต้องตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ไม่บกพร่องอีกด้วย

2. เข้าประชุม

นอกจากงานที่หัวหน้าต้องรับผิดชอบแล้ว ยังมีหน้าที่ในการเข้าประชุมในวาระสำคัญต่างๆ ขององค์กร ประชุมวางแผนงาน แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ประชุมความคืบหน้าของงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ด้วย ซึ่งคนเป็นหัวหน้าจะต้องแบกรับความกดดันและความเครียดเพิ่มมากขึ้น

3. วางแผนงาน

หัวหน้าต้องรู้ว่าเป้าหมายของงานคืออะไร และจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร มีขั้นตอนวิธีการทำอย่างไรบ้าง และใครต้องมามีส่วนร่วมบ้าง มีระยะเวลาเท่าไหร่ และผลลัพธ์ที่คาดหวัง หรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้มีอะไรบ้าง จากนั้นก็มากำหนดแผนการดำเนินงานที่เหมาะสมกับเรื่องนั้นๆ

4. สั่งงานลูกน้อง

หัวหน้าจะต้องสั่งงานหรือมอบหมายงานให้ลูกน้องทุกคนให้ได้รับงานอย่างเท่าเทียมกัน โดยมอบหมายงานตามความสามารถของลูกน้องแต่ละคน เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานออกมาได้ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

5. สอนงานลูกน้อง

ด้วยประสบการณ์การทำงานและความชำนาญที่หัวหน้ามี คนเป็นหัวหน้าจึงต้องถ่ายทอดขั้นตอนการทำงานที่เคยผ่านมา และได้ประสบความสำเร็จมาแล้วให้ลูกน้องได้เรียนรู้ ด้วยขั้นตอนที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อองค์กร

6. แนะนำลูกน้อง

เมื่อหัวหน้าพบว่างานของลูกน้องกำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ คนเป็นหัวหน้าก็ต้องคอยไปแนะนำเท่าที่ลูกน้องต้องการ แต่อย่ามากจนเกินไปล่ะ เพราะมันจะกลายเป็นการบ่นซะมากกว่า

7. ปกครองลูกน้อง

เมื่อหัวหน้าได้รู้จักลูกน้องของตัวเองแต่ละคนดีแล้ว ซึ่งหัวหน้าก็จะมีสไตล์การปกครองลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทั้งนี้วิธีการปกครองจะเปลี่ยนไปตามลักษณะของลูกน้อง ไม่ต้องกลัวว่าลูกน้องจะไม่รัก เพราะถ้าคนเป็นหัวหน้ากลัวลูกน้องไม่รักสุดท้ายก็จะเหนื่อยเอง เนื่องจากเมื่อลูกน้องไม่ยอมทำตามคำสั่ง อย่างไรเสียหัวหน้าก็ต้องทำเองอยู่ดี

8. ดูแลลูกน้อง

หัวหน้าต้องทำความรู้จักลูกน้องของตัวเองว่าแต่ละคนเขาเก่งอะไร และไม่เก่งเรื่องอะไรในงานที่ทำบ้าง รวมไปถึงควรที่จะรู้เรื่องส่วนตัวที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของลูกน้องแต่ละคนด้วย ยกตัวอย่างเช่น มีภาระทางบ้านที่ต้องดูแล ต้องไปรับ-ไปส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการมาทำงานหรือให้ทำโอทีได้นั่นเอง