รู้จักกับ USB แต่ละประเภท มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร?
รู้จักกับ USB แต่ละประเภท มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร?
การเชื่อมต่ออุปกรณ์บนคอมพิวเตอร์นั้น หลายคนมักจะรู้จักกันดีว่าใช้การเชื่อมต่อแบบ USB ซึ่งก็จะมีหน้าตาที่คุ้นเคยกันดีกับรูปทรงสี่เหลี่ยมแบนๆ สำหรับใช้เชื่อมต่อกับเมาส์, คียบอร์ด, External Harddisk, แฟลชไดร์ฟ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งรู้กันไหมครับว่า ยูเอสบีเนี่ย จริงๆ แล้วมีหลากหลายรูปแบบมากๆ แต่จะมีกี่แบบนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปเรียนรู้กันครับ
ก่อนจะไปดูว่ายูเอสบีมีกี่รูปแบบนั้น เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเบื้องต้นกับยูเอสบีกันก่อน ซึ่งยูเอสบีนั้นก็มีชื่อเต็มๆ ก็คือ Universal Serial Bus ซึ่งถูกพัฒนาในช่วงปี ค.ศ.1994 เพื่อให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นมีมาตรฐานกลางในการเชื่อมต่อ และลดความยุ่งยากในการสรรหาอุปกรณ์อื่นๆ มาใช้ เพราะหากอุปกรณ์เสริมใดออกแบบมารองรับยูเอสบี ก็จะสามารถนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีพอร์ตยูเอสบีได้ทั้งหมด โดยยูเอสบีนั้นก็มีการพัฒนาอยู่ตลอด เพื่อให้สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้น
USB มีกี่แบบ อะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร?
สำหรับรูปแบบของ USB มีกี่แบบ และอะไรบ้างนั้น เราจะพาทุกคนไปดูกันครับ
จำแนกตามรุ่นของ USB
หากจำแนก USB ตามรุ่นนั้น จะมีทั้งหมดดังนี้ครับ
USB 1.0
เป็น USB รุ่นแรกที่เริ่มใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 1996 โดยมีหน้าตาเป็นสี่เหลี่ยมแบนๆ ที่ด้านในมีไมโครชิพ และมีพอร์ตสีขาว มีความเร็วรับส่งข้อมูลที่ประมาณ 1.5-12 Mbit/วินาที และสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 2.5W ซึ่งช้ากว่าอแดปเตอร์จ่ายไฟรุ่นเดิมของ iPhone ถึง 2 เท่า (อแดปเตอร์ iPhone รุ่นเก่าจ่ายไฟได้ 5W)
USB 2.0
เป็น USB รุ่นที่สอง เริ่มใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 2001 ซึ่งมีหน้าตาคล้ายเดิม แต่ด้านในจากพอร์ตสีขาวกลายเป็นสีดำ สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ตั้งแต่ 1.5-480 Mbps/วินาที สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 2.5W และรองรับการแปลงหัวเป็น USB Type A, USB Type B และ Mini USB ซึ่งในปัจจุบันก็ยังพบการใช้งานอยู่บ้าง
USB 3.0
เป็น USB รุ่นที่สาม เริ่มใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 2011 ซึ่งก็ยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิม แต่พอร์ตด้านในกลายเป็นสีน้ำเงิน โดยสามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้น เป็น 5 Gbps สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 4.5W และรองรับการแปลงหัวได้หลากหลายมากขึ้น ทั้ง USB Type A, Type B และ Micro USB แบบที่เราเห็นได้ในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ช่วงก่อนหน้านี้
USB Lightning
เป็น USB รุ่นที่ผลิตมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 สำหรับใช้กับอุปกรณ์ Apple ทั้ง iPhone, iPad, iPod, Mac และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ซึ่งตัวสายจะมีลักษณะเป็น USB Type A หนึ่งด้าน และอีกด้านเป็น Lightning ที่สามารถเสียบเข้ากับอุปกรณ์ได้ทุกด้าน ซึ่งมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลถึง 500 Mbps ปัจจุบันก็ยังคงใช้งานกับ iPhone รุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 11 อยู่
USB 3.1
เป็น USB รุ่นที่เริ่มใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 2014 โดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 10 Gigabit/s และรองรับการแปลงพอร์ทเชื่อมต่อเป็น USB Type A และ USB Type B นอกจากนั้นในรุ่นนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีการใช้งาน USB Type C สำหรับการเชื่อมต่ออีกด้วย
USB 3.2
เป็น USB รุ่นที่เริ่มใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 2017 ซึ่งพัฒนาให้มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลมากกว่า USB 3.1 ถึง 2 เท่า อยู่ที่ 20 Gigabit/s แต่จะรองรับการแปลงพอร์ทเชื่อมต่อเฉพาะ USB Type C เท่านั้น (ตัวสายอีกด้านมีทั้ง USB Type A และ Type C) โดยมีฟังก์ชั่นพิเศษที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ การรองรับ Power Delivery หรือการชาร์จไฟด้วยความเร็วสูง ซึ่งก็คือระบบ Fast Charge ที่เราพบในสมาร์ทโฟนนั่นเอง
USB 4
เป็นมาตรฐานล่าสุดของการเชื่อมต่อ เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2019 ซึ่งพัฒนาให้มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงกว่า USB 3.2 อีก 2 เท่า กลายเป็น 40 Gigabit/s โดยจะรองรับการใช้งานเฉพาะ USB Type C ทั้งสองด้านเท่านั้น
จำแนกตามลักษณะพอร์ทเชื่อมต่อ
หากจำแนก USB ตามลักษณะของพอร์ทเชื่อมต่อ จะได้ออกมาดังนี้ครับ
USB Type A
USB Type A นั้นเป็นรูปแบบของ USB ที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ภายในจะมีชิปสำหรับการเชื่อมต่อ โดยก็จะมีความเร็วแตกต่างกันไปตามรุ่นด้านบน และ USB Type A นั้นก็มีทั้งแบบที่เป็นตัวผู้ (สำหรับเสียบเชื่อมต่อ) และตัวเมีย (สำหรับรับการเชื่อมต่อ) และมักจะเป็นพอร์ตที่มาควบคู่กับ USB ประเภทอื่น
USB Type B
USB Type B นั้นเป็นรูปแบบของ USB ที่ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น สแกนเนอร์ ปริ๊นท์เตอร์ ซึ่งก็จะเป็นรูปทรงคล้ายๆ สี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งก็จะมาคู่กับ USB Type A ตัวผู้
Mini USB
เป็น USB ที่ย่อขนาดให้เล็กลง ซึ่งมักจะได้รับความนิยมมากในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยก่อน ในปัจจุบันมักจะไม่ค่อยพบการใช้งานแล้ว โดยเล็กกว่า USB Type A เกือบครึ่งหนึ่ง และแน่นอนว่าสายก็มาควบคู่กับ USB Type A ตัวผู้เช่นเคย
Micro USB
เป็นอีกหนึ่งพอร์ตการเชื่อมต่อที่ได้รับความนิยมมากๆ ซึ่งหลายคนต้องเคยได้ใช้อย่างแน่นอน โดยพอร์ตเชื่อมต่อของ Micro USB จะมีขนาดเล็กกว่า Mini USB พอสมควร และที่หัวเชื่อมต่อจะมีเขี้ยวสำหรับเกาะกับ Micro USB ตัวเมีย โดยนิยมใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอกนิกส์ช่วงก่อนหน้านี้มากๆ พบได้บ่อยในสมาร์ทโฟน Android เกือบทุกรุ่น
Lightning
เป็นพอร์ตการเชื่อมต่อที่ใช้กับอุปกรณ์เฉพาะของ Apple เท่านั้น ซึ่งมีข้อดีคือสามารถเสียบเข้ากับอุปกรณ์ที่ด้านไหนก็ได้ เพราะทั้งสองด้านต่างทำมาอย่างสมมาตร ปัจจุบันยังใช้พอร์ต Lightning อยู่ใน iPhone และอุปกรณ์อื่นๆ ยกเว้น iPad Pro ที่เปลี่ยนมาใช้ USB Type C ตั้งแต่ปี 2018
USB Type C
เป็นรูปแบบของพอร์ตเชื่อมต่อที่มาแรง และเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อของยุคนี้ ซึ่ง USB Type C นั้นมีแนวคิดคล้ายๆ กับพอร์ต Lightning คือสามารถเชื่อมต่อด้านไหนก็ได้ แต่ USB Type C จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยรองรับการเชื่อมต่อหลากหลายรูปแบบ ทั้งโอนถ่ายข้อมูล ชาร์จไฟ เชื่อมต่อจอแสดงผล เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เชื่อมต่อหูฟัง และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยความหลากหลายทางการใช้งาน ความรวดเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล และความหลากหลายของเทคโนโลยีที่รองรับทำให้ USB Type C ได้รับความนิยมในปัจจุบันมากๆ นั่นเอง ซึ่ง USB Type C นี้ก็จะมีทั้งรูปแบบที่มาคู่กับ USB Type A, Lightning และ Type C ด้วยกันเอง
สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ นั้นเรามักจะคุ้นเคยกับการใช้งานบนอุปกรณ์พกพาเสียส่วนมาก ซึ่งด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีในแต่ละช่วงเวลาจึงทำให้พอร์ตการเชื่อมต่อแต่ละรูปแบบนั้นเกิดความแตกต่างกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้แม้อาจจะดูยากไปสักนิด แต่หากเราศึกษาไว้ ครั้งหน้าที่เราไปซื้อสายยูเอสบี เราก็จะสามารถเลือกให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ของเราได้นั่นเองครับ
-
Gadget ที่ต้องมีติดออฟฟิศ สำหรับพนักงานยุค 4.0
ออฟฟิศยุคปัจจุบันมีการพัฒนาเป็น Office ยุค 4.0 ที่เปลี่ยนบรรยากาศในออฟฟิศไปอย่างมาก อุปกรณ์ในรูปแบบเดิมๆ ถูกทดแทนด้วยอุปกรณ์ล้ำสมัยและตอบโจทย์การทำงานได้มากขึ้น มาดูกันว่า Gadget อะไรที่ควรมีติด Office ไว้บ้าง
-
ส่องเทคโนโลยีของกล้องบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน เป็นอย่างไร?
เทคโนโลยีกล้องบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบันถือว่าพัฒนามาไกลมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของความละเอียดภาพ ที่ปัจจุบันคมชัดถึงหลักร้อยล้านพิกเซลเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาไปดูกันว่า ปัจจุบันกล้องบนสมาร์ทโฟน เป็นอย่างไร
-
สรุปให้แล้ว !! กับฟีเจอร์เด่นจาก macOS Big Sur มีอะไรใหม่ ?
นอกจาก Apple จะเปิดตัว iOS 14 ภายในงาน WWDC 2020 แล้ว ก็ยังมีการเปิดตัว macOS Big Sur ออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งก็มีการอัพเดทสิ่งต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของ UI และวันนี้เราจะมาสรุปฟีเจอร์เด่นๆ ให้อ่านกันครับ