พาไปดู 10 อันดับรถไฟความเร็วสูง ที่เร็วที่สุดในโลก มีที่ไหนบ้าง?

ในการเดินทางของมนุษย์นั้น หากจัดอันดับแล้ว รถไฟความเร็วสูง หรือ High Speed Rail (HSR) ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการเดินทางที่ใครหลายๆ คนต้องการเลยก็ว่าได้ เพราะได้การเดินทางที่รวดเร็วขึ้น ใช้ระยะเวลาน้อยลง รวมไปถึงราคาก็มีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งในประเทศในแถบยุโรปและเอเชียตะวันออกนั้น การเดินทางรูปแบบนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากเลยทีเดียว และในวันนี้ เราจะพาทุกคนไปดู 10 อันดับของ HSR ที่เร็วที่สุดในโลกกันครับ

สำหรับการเดินทางในรูปแบบของ HSR นั้นมีข้อดีคือระยะเวลาที่ใช้เดินทางค่อนข้างสั้นลงมาก เพราะตัวรถไฟเองนั้นมีเทคโนโลยีที่สามารถทำความเร็วได้สูงสุด (ณ ปัจจุบัน) ถึง 500+ กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยทีเดียว และรถส่วนมากนั้นใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานในการขับเคลื่อน และก็ต้องวิ่งบนรางที่รองรับ HSR ด้วยจึงจะสามารถเร่งความเร็วได้สูงที่สุด และส่วนมากแล้ว แนวเส้นทางของ HSR นั้นมักจะสร้างขึ้นใหม่ให้แตกต่างจากเส้นทางเดิมที่อาจจะมีความคดเคี้ยวมากเกินไป จึงต้องวางระบบใหม่เกือบทั้งหมด จึงอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้บางประเทศยังไม่มี HSR แต่ก็มีบางเส้นทางที่สามารถใช้แนวทางเดิมได้เลย ไม่ต้องสร้างใหม่ ทำให้สะดวกต่อการลงทุนก่อสร้างมากกว่านั่นเอง

10 รถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลก

สำหรับ 10 รถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลกนั้น ส่วนมากก็จะเปิดให้บริการในประเทศโซนยุโรป เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่นิยมการเดินทางรูปแบบนี้มาก และโครงข่ายของเส้นทางนั้นเรียกได้ว่าเชื่อมต่อแต่ละประเทศได้เป็นอย่างดี เดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถข้ามประเทศได้แล้ว จึงทำให้ได้รับความนิยมมากในยุโรปนั่นเอง ไปดูกันครับว่ามีเส้นทางไหนบ้าง

อันดับที่ 10 THSR 700T (Taiwan) 300 Km/h

ให้บริการจากกรุงไทไป (Taipei City) ไปยังเมืองเกาสง (Kaohsiung) ทางตอนใต้ของไต้หวัน ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300 กิโลเมตร/ชัวโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง

อันดับที่ 9 Thalys (Belgium)

เป็นรถไฟความเร็วสูงของประเทศเบลเยี่ยม และให้บริการไปยังเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยใช้เวลาเดินทางจาก Paris Gare Du Nord ไปยัง Brussels Zuid ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

อันดับที่ 8 Eurostar E320 (England)

เป็นรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศอังกฤษและประเทศยุโรปตะวันตก (ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์) ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยความพิเศษของรถไฟขบวนนี้คือการลอดอุโมง Euro Tunnel ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ทะเลที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะอังกฤษและยุโรปตะวันตก

อันดับที่ 7 KORAIL KTX (South Korea)

เป็นรถไฟความเร็วสูงที่หลายคนรู้จักกันดี ให้บริการโดย KORAIL โดยมีสถานีหลักที่กรุงโซล และเชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆ ภายในประเทศ สิ้นสุดเส้นทางทิศใต้ที่เมืองปูซาน โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 330 กิโลเมตร/ชั่วโมง 

อันดับที่ 6 HARAMAIN WESTERN RAILWAY (Saudi Arabia)

ให้บริการในเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ของประเทศซาอุดิอาระเบีย ระหว่างกรุงเมกกะห์ และเมืองเมดินะห์ ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง

.

อันดับที่ 5 Renfe AVE (Spain)

ให้บริการในเส้นทางระหว่างประเทศสเปนและฝรั่งเศส โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางระหว่างเมืองบาร์เซโลน่า ไปยังกรุงปารีส เพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น

อันดับที่ 4 FRECCIAROSSA (Italy)

ให้บริการโดย Trenitalia และมีเฉพาะเส้นทางในประเทศอิตาลีเท่านั้น ซึ่งมีความเร็วสูงสุดถึง 355 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางจากมิลานไปยังกรุงโรมไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น

อันดับที่ 3 SHINKANSEN H5 AND E5 (Japan)

เป็น 1 ในรถไฟความเร็วสูงที่คนไทยรู้จักกันสำหรับ Shinkansen ที่ให้บริการมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว ซึ่งในปัจจุบันมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 360 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงโตเกียวไปเมืองโอซาก้าเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น

อันดับที่ 2 FUXING HAO CR400AF/BF (China)

เป็นรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่ภายในประเทศจีน ซึงให้บริการด้วยความเร็วสูงสุดถึง 400 กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยทีเดียว

อันดับที่ 1 SHANGHAI MAGLEV (China)

ก็ยังคงเป็นรถไฟความเร็วสูงที่ให้บริการภายในประเทศจีน สำหรับอันดับที่ 1 อย่าง Shanghai Maglev แต่จะมีความแตกต่างจากรถไฟความเร็วสูงอื่นๆ เพราะจะให้บริการจากสนามบินชางไห่ ผู่ตง เข้ามายังสถานีหล่งหยาง ซึ่งอยู่ภายในตัวเมืองรอบนอกของเซี่ยงไฮ้ โดยใช้ระยะเวลาเดินทางเพียง 7 นาทีเท่านั้น ด้วยความเร็วสูงสุด 431 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟนั้นก็คือเป็นอีกหนึ่งระบบคมนาคมที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อเพื่อให้รถไฟทำความเร็วสูงสุดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตก็อาจจะได้เห็นรถไฟที่มีความเร็วสูงถึง 600 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็ได้ และแน่นอนว่าคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือผู้โดยสารอย่างเรา ที่จะมีตัวเลือกในการเดินทางเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ