ทำความรู้จักไวรัส RSV คืออะไร? อันตรายแค่ไหน?
ทำความรู้จักไวรัส RSV
มาทำความรู้จักไวรัส RSV กันว่าคืออะไร? และมันอันตรายแค่ไหน? คนทั่วไปอาจยังไม่คุ้นหูกับคำว่า "เชื้อไวรัส RSV" เท่าไรนัก เพราะคนที่รู้จักไวรัสชนิดนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็น คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง นั่นก็เพราะ RSV คือเชื้อไวรัสสุดฮิตที่เกิดขึ้นในหมู่เด็กเล็กเป็นจำนวนมากนั่นเอง
โดยเฉพาะฤดูกาลที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ร่างกายต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้เด็กเล็กเกิดอาการป่วยได้ง่ายๆ ซึ่งโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV เชื้อนี้มองเผินๆ อาจเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ไวรัสอาร์เอสวี คืออะไร? อันตรายแค่ไหน?
ไวรัส RSV คืออะไร? อันตรายแค่ไหน? วันนี้เรามีคำตอบค่ะ RSV หรือชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี เชื้อไวรัสอาจทำให้มีเสมหะมากทำให้ปอดเกิดอาการอักเสบ และทำให้เยื่อบุหลอดลมและทางเดินหายใจต่างๆ บวม จึงทำให้เด็กมีอาการเหนื่อยหอบและหายใจลำบาก
RSV เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อผ่านสารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกายได้ เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะผู้มีเชื้อ การไอ หรือสัมผัสเชื้อโรค โดยผู้ป่วยจะรับเชื้อไวรัสจากฝอยละอองจากการไอ จาม ของผู้ติดเชื้อ อัตราการแพร่กระจายอยู่ที่ผู้ป่วย 1 คน ต่อคนทั่วไปเพียง 1-2 คนเท่านั้น ไม่แพร่กระจายเหมือนโรคหัด หรือคอตีบ ที่ผู้ป่วยจาม 1 ครั้ง อาจแพร่กระจายเชื้อได้ 7-12 คน
อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV
อาการผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV จะมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดธรรมดาหรือคล้ายปอดอักเสบ
- เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก
- หายใจครืดคราด หายใจมีเสียงหวีด
- มีอาการตัวเขียว
- ไอเสียงดัง แบบมีเสมหะ
- มีเสมหะในลำคอมาก
- เด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือหอบหืดยู่แล้ว อาจมีอาการหนักถึงขั้นหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
วิธีป้องกันการติดเชื้อ RSV
1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเข้าใกล้ สัมผัส หรืออุ้มเด็กเล็ก เนื่องจากมือของเราอาจจะบังเอิญสัมผัสเชื้อโรคจากที่ใดที่หนึ่งแล้วไม่ได้ล้างมือ เมื่อเราสัมผัสเด็กเล็กก็อาจทำให้เด็กติดเชื้อไวรัส RSV ได้
2. หากบุตรหลานมีอาการติดเชื้อไวรัส RSV ควรหยุดพักรักษาอาการให้หายขาด ไม่ควรอนุญาตให้บุตรหลานไปโรงเรียนก่อนที่อาการจะหายเนื่องจากสามารถแพร่เชื้อไวรัสให้แก่เด็กคนอื่นๆ ได้
3. หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กได้รับการสัมผัสโดยตรงจากคนแปลกหน้า เช่น การกอดหรือหอมแก้มเพื่อเป็นการป้องกันเชื้อไวรัส RSV
4. ใช้วิธีการสวมหน้ากากอนามัย
5. ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
วิธีรักษา RSV
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แต่ใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออก จะช่วยลดความรุนแรงของอาการไอและอาการหายใจหอบเหนื่อยได้
โรคติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกน้อยได้ เชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจึงไม่ใช่โรคที่น่ากลัวมากนักแต่จะเป็นการดีกว่าถ้าป้องกันไม่ให้บุตรหลานของท่านติดเชื้อ RSV
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต
-
"ปฏิรูป" กับ "ปฏิวัติ" ต่างกันอย่างไร? หาคำตอบได้ที่นี่!
ต้องบอกเลยว่าปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวและการชุมนุมของคณะราษฎรที่ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล ทำให้เกิดเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนสงสัยว่า "ปฏิรูป" กับ "ปฏิวัติ" ต่างกันอย่างไร? วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ!
-
"ช้อปดีมีคืน" เช็คเลยใครมีสิทธิ์บ้าง ลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ซื้ออะไรได้?
"ช้อปดีมีคืน" ใครมีสิทธิ์บ้าง? ลดหย่อนภาษีได้เท่าไร? ซื้ออะไรได้บ้าง? มาทำความเข้าใจโครงการช้อปดีมีคืน 2563 ให้ชัดเจนกันค่ะ
-
เช็คเลย! ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนพฤศจิกายน 2563
ถ้าเราเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนด้วยฤกษ์ดีๆ สิ่งมงคลก็จะตามมา ซึ่งในเดือนนี้เราก็มีฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนพฤศจิกายน 2563 มาให้ดูกันแบบจัดเต็มไปเลยค่ะ