ความแตกต่างของ 4G กับ 5G แล้วเราควรเปลี่ยนไปใช้เลยหรือไม่?

สำหรับเทคโนโลยีไร้สายที่กำลังจะเริ่มต้นในประเทศไทยนั่นก็คือ 5จี ที่ในตอนนี้เริ่มเปิดให้บริการไปบางส่วนแล้ว และมีอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งาน 5จี ไม่มากนัก ปัจจุบันเพียงไม่ถึง 10 รุ่นก็ว่าได้ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยถึงความแตกต่างของ 4จี และ 5G ว่ามีมากแค่ไหน รวมถึงเรื่องสำคัญที่หลายคนอาจจะสงสัย ว่าเราควรเปลี่ยนไปใช้เลยหรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันครับ

สำหรับคุณภาพของอินเทอร์เน็ตทั้ง 4จี และ 5จี นั้น หากพูดตามสเปกที่ให้มา ก็ถือได้ว่า 5จี มีความสามารถและประสิทธิภาพมากกว่า 4จี หลายเท่าตัวเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อหากเทียบกันในแง่ของความเร็วการ Download 5จีจะรวดเร็วกว่า 4จี ประมาณ 20 เท่า (ที่ 1 Gbps) และยังมีสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 5จี เช่น การรองรับกับ IoT ที่หลายๆ องค์กรใช้เป็นจุดเด่นของเทคโนโลยี 5จี ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการทำสิ่งต่างๆ เป็นอย่างมาก เช่น การควบคุมรถจากระยะไกล หรือการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality ในการกระทำสิ่งต่างๆ ทดแทนการไปสถานที่จริง อย่างการควบคุมการผ่าตัดของแพทย์ การเลือกหยิบสินค้าภายในร้านค้าแบบเสมือนอยู่ในร้าน (แต่จริงๆ สั่งที่บ้าน) ซึ่งแน่นอนว่าฟังดูแล้ว 5จี เหมาะสมกับการใช้งานมาก และหลายคนคงมีความสนใจจะเปลี่ยนไปใช้กันมากเลยทีเดียว แต่สำหรับในตอนนี้นั้น 5จี ควรรีบใช้เลยหรือไม่

5G ควรเปลี่ยนไปใช้ตอนนี้เลยไหม?

สำหรับเทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ หลายคนอาจจะมีคำถามว่า เราควรเปลี่ยนไปใช้ในตอนนี้เลยไหม? ซึ่งเราจะมี 5 ข้อที่จะช่วยให้ทุกคนตัดสินใจได้มาฝากกันครับ

อุปกรณ์ที่รองรับ

หากต้องการใช้งาน 5G แน่นอนว่าในตอนนี้อาจจะต้องลงทุนในการซื้ออุปกรณ์ใหม่เพื่อให้สามารถใช้งานได้ ในขณะที่เมื่อเทียบกับ 4G ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่รองรับเป็นจำนวนมากกว่า (แน่นอนเพราะว่าเปิดตัวมาเป็นเวลานานแล้ว) ซึ่งถ้าเป็นผู้ใช้งานที่ต้องการจะเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่อยู่แล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักในการซื้ออุปกรณ์ที่รองรับ 5G เพราะซื้อมาก็ยังใช้ได้ในอนาคต แต่หากเป็นผู้ที่แค่อยากลอง 5G เฉยๆ การต้องซื้ออุปกรณ์อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่นักในตอนนี้

พื้นที่ครอบคลุม

ปัจจุบัน 5G ในประเทศไทย แม้ว่าจะครอบคลุม 77 จังหวัดตามคำโฆษณาก็ตาม แต่พื้นที่ครอบคลุมนั้นเรียกได้ว่ายังน้อยมาก ส่วนมากในจังหวัดที่ไม่ใช่หัวเมืองใหญ่ๆ ก็จะครอบคลุมเฉพาะในโซนอำเภอเมืองชั้นในเท่านั้น แต่ถ้าเป็นหัวเมืองสำคัญหรือเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ก็จะค่อนข้างครอบคลุม แต่ก็เฉพาะโซนสำคัญหรือย่านที่มีคนอาศัยเยอะ หากใช้งานนอกจุดเหล่านี้ก็จะกลายเป็น 4G แทน แต่ถ้าเป็นผู้ที่อาศัยหรือเดินทางในจุดที่มี 5G ตลอด ข้อนี้ก็ไม่มีผลมากเท่าไหร่นัก

ความเร็วในการใช้งาน

สำหรับความเร็วในการใช้งานที่โฆษณามาว่าเร็ว 1Gbps นั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะได้ใช้ความเร็วระดับนี้กันทั้งหมด เพราะก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะห่างระหว่างอุปกรณ์และจุดส่งสัญญาณ จำนวนผู้ใช้งาน คุณภาพของสัญญาณ สิ่งกีดขวาง และปัจจัยอื่นๆ อีกพอสมควร เมื่อใช้งานจริงความเร็วก็จะลดลง ซึ่งบางครั้งอาจจะเทียบเท่ากับ 4G ในตอนนี้เลยก็ว่าได้

ความเร็วในการตอบสนอง

แม้ว่า 5G จะมีความเร็วในการตอบสนองในระดับ 0.1 ms แต่ในการใช้งานจริงก็อาจจะไม่ถึงในระดับนั้น เพราะก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่นเดียวกันกับหัวข้อก่อนหน้า แต่ถ้าพูดถึงการใช้งานทั่วไป ผู้ใช้งานอย่างเราอาจจะไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้มากสักเท่าไหร่ เพราะใช้งานทั่วไปหรือเล่นเกมต่างๆ ค่านี้ก็อาจจะไม่ได้มีผลเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่มีผลคือความเร็วและความเสถียรของสัญญาณเสียมากกว่า

การใช้งานในด้าน IoT

ถือเป็นจุดเด่นที่สุดสำหรับ 5G และเป็นข้อดีที่ทำให้หลายๆ องค์กรหรือหลายคนควรจะหันมาใช้ 5G เพราะจะทำให้การบริหารและการทำงานในหลายสิ่งมีความสะดวกขึ้นมาก หรือแม้แต่เป็นอุปกรณ์ที่รองรับการสั่งงานผ่านอินเทอร์เน็ตส่วนตัว เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน หากใช้เทคโนโลยี 5G ก็ช่วยให้การสั่งการทำได้อย่างรวดเร็วและไม่มีดีเลย์ ซึ่งถือเป็นประโยชน์ที่สำคัญที่สุดที่หลายๆ องค์กรและหลายคนใช้เป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนมาใช้งาน 5G เลยก็ว่าได้

สำหรับ 5จี เมื่อเทียบกับ 4G นั้น ในแง่ของสเปกก็ถือว่าแตกต่างกันมาก แต่ถ้าเป็นในการใช้งานจริง ก็ต้องบอกได้เลยว่าขึ้นอยู่กับการใช้งานในแต่ละแบบซึ่งมีความแตกต่างกัน หากเป็นในแง่ของผู้ใช้งานทั่วไป อาจจะมองว่า 5จี ยังไม่จำเปนนักในการใช้งานทั่วๆ ไป แต่ถ้าหากเป็นในระดับองค์กร หรือการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) อันนี้ก็จะมีความจำเป็นมาก เพราะประสิทธิภาพของ 5จี จะช่วยให้การใช้งานรูปแบบนี้ยกระดับการทำงานภายในองค์กรได้แบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว